ห้องภาวนามูลนิธิฯ

อ่อนนุช กรุงเทพฯ

โพธิธรรมญาณสถาน

อ.แก่งคอย จ.สระบุรี

โพธิธรรมญาณสถาน

อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

โพธิธรรมญาณสถาน

จ.ภูเก็ต

พลังจากการสวดมนต์

เวลาที่เราเดินทางออกจากบ้านไปต่างประเทศหรือต่างจังหวัดไกล ๆ ทำไมจิตจึงรู้สึกเหมือนโล่งและหายใจจากภาระหรือชีวิตจำเจได้มากมาย นั่นก็เพราะจิตและกายได้เคลื่อนย้ายออกจากสนามพลังงานหนึ่งไปสู่สนามพลังงานใหม่ ความอึดอัดหรือหนาแน่นของสนามพลังงานนั้นจึงบางลง มนุษย์ผู้ตรากตรำ จึงโหยหาการพักผ่อนที่ริมทะเล หรืออยู่บนภูเขาสูง เพื่อให้พ้นจากกระแสเหนี่ยวนำใด ๆ โดยที่ตนคิดเพียงว่า “ให้ความรู้สึกสบายดี” แต่ความจริงมันเป็นเรื่องกระแสพลังงาน

ตามกฎของฟิสิกส์ เมื่อเราอยู่ในสนามพลังงานไหนที่มีแรงส่งสูงมากกว่า เราย่อมถูกดึงดูดไปด้วยพลังงานนั้น

คนที่เสียชีวิตโดยอุบัติเหตุทางเครื่องบิน หรือโศกนาฏกรรมหมู่ที่เป็นอุบัติเหตุ ไม่ใช่เพราะทุกคนหมดอายุขัยทั้งหมด แต่เพราะมีคนที่หมดอายุขัยและคนที่กำลังประสบวิบากหนักรวมอยู่ในนั้นหนาแน่นมาก คนไม่หมดอายุขัยจึงถูกดึงให้ต้องประสบชะตากรรมเช่นนั้นไปด้วย

การสวดพระคาถาชินบัญชรนั้น จะเป็นการโน้มนำเอาพลังคุณพระศรีรัตนตรัยมาปกปักรักษาตั้งแต่ ศีรษะจรดเท้า

หากสวดมากถึง 9 จบ พอขึ้นถึงจบที่ 6 พลังจะเพิ่มขึ้นเกิดเป็นธาตุไฟมาชำระขับไล่กิเลส พลังร้าย พลังลบใดที่เกาะจิต จะถูกกัดกร่อนหรือเผาให้หลุดออกไป ชีวิตจะได้ไม่ซวนเซเสียหลักจากการถูกรุกราน ต่อเมื่อ จิตตั้งหลักได้แล้ว ต่อไปก็ปฏิบัติภาวนา แล้วก็สวดมนต์ปกติ มิจำเป็นต้องสวด 9 จบ ซึ่งเป็นการพึ่งพระรัตนตรัย มากเกินไป ต้องหันมาพึ่งตัวเอง

หลักการสวดพระคาถาให้ได้ผล คือ
ผู้สวดมนต์ต้องทำจิตให้พร้อมกับการเชื่อมพลัง ด้วยการทำจิต ให้มีสมาธิ ตั้งมั่นในการสวด อย่างมีสติสัมปชัญญะ รู้ตัวชัด สวดด้วยจิตที่มีสมาธิสูง ก็จะยิ่งรับพลังศักดิ์สิทธิ์ ได้มาก

การสวดมนต์ด้วยคำบาลีนั้น คือการที่เราได้เชื่อมจิตลงไปถึงองค์พระบรมศาสดาผ่านภาษาในยุคนั้น จึงมีพลังในการเชื่อมถึงพระรัตนตรัยมาก อย่างไรก็ดี การสวดมนต์ควรทำแต่พอดี ในยามปกติควรสวดวันละ 1 จบ

พระคาถาอีกบทที่ควรสวดให้ได้ทุกวัน ๆ ละ 1 จบ คือ พระคาถามงคลชัยคาถา หรือ พาหุงมหากา บทนี้ไพเราะ ความหมายมีทั้งเป็นพระคาถาสรรเสริญพระพุทธเจ้าที่ทรงชนะมาร และในบทมหาการุณิโกนาโถ ก็เป็นบทเมตตาและน้อมนำความเจริญ และสิริมงคลมาแก่ตัวเอง หากสวดให้ผู้อื่นก็เป็นการแผ่เมตตาให้อย่างมีพลัง โดยเฉพาะท่อนสุดท้ายที่ว่า

ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะธัมมานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ

ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรม ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ

ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ

อาจารย์เห็นว่า บทมหากรุณิโกนาโถ มีพลังในการแผ่เมตตาทั้งแก่ตนเอง และแก่ผู้อื่นสูงมาก หากสวด ให้แก่ศัตรู หรือผู้ที่เราอยากให้เขาลดความหยาบกระด้าง ให้จิตเข้าได้อ่อนน้อมเข้าหาธรรม พุทธมนต์บทนี้มีความอ่อนโยนช่วยกล่อมจิตกระด้าง ให้อ่อนลงจนยอมน้อมมาในธรรม เป็นการปลุกจิตเดิมให้มีพลังขึ้นมาทีละน้อย อีกทั้งขึ้นชื่อว่า มงคลนั้น อันใดที่จะเป็นกระแสที่ทำให้ชีวิตเจริญ ก็ย่อมได้รับพลังจากพระคาถานี้ นำพาชีวิตให้พบ กับสิ่งที่ดีงามและรุ่งเรืองแก่ชีวิตในแบบที่ดีงามและมีความยั่งยืน

อาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล
04.04.2025